Thursday, March 19, 2009

สังคมนิยม: ทางรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ (3)

แนวทางสร้างอาชีพให้กับผู้ว่างงาน นั้นอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐ แต่ทางผู้เขียนก็มีข้อเสนออยู่บ้าง ซึ่งคงไม่ใช่ว่าจะเอาไปใช้ได้เลย คิดว่าคงจะต้องมีการวิเคราะห์ผลกระทบ แล้ว ปรับปรุงเงื่อนไขบ้างบางส่วน
  • นักพัฒนาและวิจัย อาชีพนี้จำเป็นจะต้องใช้เวลา จนกว่าจะเห็นผลตอบแทนของการลงทุนในการวิจัย และการพัฒนานั้นๆ แต่ในสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งหน่วยเศรษฐกิจภาคเอกชน ประสบปัญหาจนไม่สามารถลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา ทั้งในด้าน องค์ความรู้ และ ทรัพยากรบุคคล ได้ ก็เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะลงทุนในด้านนี้ และผลตอบแทนที่ได้จากการวิจัยพัฒนาก็สามารถสร้างประโยชน์ให้ประชาชนและประเทศชาิติได้
  • เกษตรกรแบบยั่งยืน แน่นอน ในปัจจุบัน อาชีพเกษตรกร ก็เป็นอาชีพที่ทำรายได้ให้ประเทศไทยอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เกษตรกรประสบอยู่คือ การที่รายได้ขึ้นกับสภาพตลาด และ ไม่มีอำนาจในการต่อรอง ซึ่งทั้งหมดล้วนมีสาเหตมาจาก การที่เกษตรกรไม่มีการศึกษาที่เพียงพอ (มิได้หมายความว่า จำเป็นต้องเรียนหนังสือให้สูงๆ แต่หมายความว่า เกษตรกรต้องมีความรู้และความเข้าใจในอาชีพของตัวเอง และ แนวทางการตลาดที่เหมาะสม) ไม่มีการรวมตัวกันเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง ดังนั้น สิ่งที่รัฐจะต้องดำเินินการนอกจากการหาที่ทำกินให้(เช่า?)แล้ว ยังจำเป็นจะต้องให้ความรู้ โดยการหาตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในอาชีพเกษตร และ ควรจะมีการส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรด้วย
  • นักอนุรักษ์ แน่นอน อาชีพนี้ต้องมีหน่วยงานที่คอยให้การสนับสนุน เพราะนักอนุรักษ์นั้น ไม่ได้ทำประโยชน์โดยตรงให้ใคร ดังนั้น อาชีพนี้ โดยปกติแล้ว จะไม่ค่อยมีผู้สนใจจะทำสักเท่าไร แต่ถ้าหากว่าได้มีการวางนโยบาย และ ประสานงานกันด้วยดีแล้ว ผู้ที่จะได้ประโยชน์ก็คือประชาชนในประเทศนั่นเอง
  • ศิลปาชีพ อันนี้พระราชินีทรงส่งเสริมอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายรายละเอียดมาก แต่อาจจะต้องหาตลาด และทำการวิจัยพัฒนาสินค้าเพิ่ม
นี่เป็นตัวอย่างเพื่อให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าตลาดภายนอกประเทศจะมีปัญหา แต่ก็ยังมีทางที่รัฐจะลงทุนสร้างอาชีพได้ ถ้าหากว่ามีความเห็นอะไรกับแนวคิดนี้ รบกวนช่วยทิ้ง comment ไว้ด้วยนะครับ

Labels:

Tuesday, March 17, 2009

สังคมนิยม: ทางรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ (2)

เมื่อวานเขียนถึงต้นตอของวิกฤตเศรษฐกิจคราวนี้ แล้วคุยกับรุ่นน้องที่จบด้านเศรษฐศาสตร์มาโดยตรง
น้องเขาก็บอกว่าปัญหาคราวนี้ไม่ได้มีสาเหตมาจาก mortgage subprime crisis แค่นั้น แต่มีปัญหาจากสาเหตุอื่นๆด้วย ทั้ง เรื่องการคิดค้น MBS, CDO และ ความโลภของสถาบันการเงิน แต่ถ้าขุดมาทั้งหมด คงไปไม่ถึงข้อเสนอที่จะเอามาใช้กับวิกฤตครั้งนี้แน่ๆ

ดังนั้นเลยขอเสนอแนวทางแก้ไขวิกฤตในครั้งนี้ก่อน

อย่างที่บอกไปแล้วว่า สถานการณ์ปัจจุบัน เหมือนไฟไหม้ป่า ยังหาทางดับไม่ได้ เลยลองคิดกลับกันดู ถ้าเล่นยังไงก็แพ้ ล้มกระดาน แล้วมาตั้งกติกาใหม่ แล้วเริ่มเล่นกันใหม่ น่าจะยังพอมีโอกาสชนะบ้าง

ตามที่ขึ้นหัวข้อไว้ "สังคมนิยม: ทางรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ" ทางเลือกที่เสนอก็จะเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมอยู่บ้าง (ล้มกระดานทุนนิยม ตั้งกติกาแบบสังคมนิยม)

ก่อนอื่น ต้องนิยามคำว่า "รอด" ก่อน ไม่งั้นก็คงจะหา "ทาง" ไม่เจอแน่นอน

ปัญหาเศรษฐกิจคราวนี้ เกิดจากความ"โลภ" ดังนั้นถ้าอยากรอด เราต้องลดความโลภลงก่อน
นิยามของคำว่า "รอด" คราวนี้คือ ให้คนไม่ล้มละลาย มีปัจจัยสี่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

ได้คำนิยามแล้วจะทำยังไงดี เนื่องจากปัญหาคราวนี้ค่อนข้างใหญ่มาก ลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ และ ลูกหนี้ที่ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ นับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งลูกจ้างในภาคการผลิตที่ถูกเลิกจ้างงาน และ เจ้าของกิจการที่ไม่สามารถนำพากิจการผ่านมรสุมวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ถ้าไม่ช่วยเหลือลูกหนี้เหล่านี้ สถาบันการเงินก็ไม่มีเงินทุนหมุนเวียน ไปปล่อยกู้ให้หน่วยเศรษฐกิจอื่น ที่ต้องการเงินกู้ และยังมีความสามารถในการชำระหนี้อยู่

หน้าที่อันนี้ ผู้เขียนเสนอให้เป็นหน้าที่ของรัฐ ที่จะเข้าไปจัดสรรทรัพยากรการผลิต ทั้งในส่วนของ ทุน และ แรงงาน เพื่อประคับประคองระบบเศรษฐกิจไปก่อน โดยทรัพยากรในส่วนของทุนนั้น มีทั้งสินทรัพย์ของบุคคลที่กำลังจะประสบปัญหาล้มละลาย และ เงินงบประมาณของรัฐนั้นๆเอง ส่วนทรัพยากรในส่วนของแรงงาน ก็ได้แก่ ลูกหนี้ผู้ว่างงาน และผู้กำลังประสบปัญหาล้มละลาย

โดย รัฐจะต้องจัดหาตำแหน่งงานให้บรรดาลูกหนี้ที่ประสบปัญหาการว่างงาน และบังคับให้นำเอารายได้จากการจ้างงานส่วนนึงไปชำระหนี้ และ บีบบังคับให้เหล่าสถาบันการเงินเจ้าหนี้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้การจัดหางานของรัฐ ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งฝ่ายเจ้าหนี้และลูกหนี้ ต้องยอมแบกรับความไม่พึงพอใจบางส่วนไป โดยลูกหนี้ ต้องยอมอยู่ในคำสั่งรัฐ ทำงานที่ตัวเองไม่ได้ชอบและอาจจะได้ผลตอบแทนที่ไม่พึงพอใจ แต่แลกกับ การไม่ต้องถูกฟ้องล้มละลาย และ สามารถดำรงชีวิตด้วยปัจจัยสี่ที่รัฐได้จัดสรรให้ ส่วนสถาบันการเงินเจ้าหนี้ ต้องยอมเสียรายได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหล่าลูกหนี้ที่อยู่ในความคุ้มครองของรัฐ แต่ก็แลกกับการที่หนี้ทั้งหมดไม่กลายเป็นหนี้เสียไป

มีคำถามคือ สภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไม่เอื้ออำนวยต่อการจ้างงาน และยิ่งไม่เหมาะที่จะสร้างงานใหม่ขึ้น แล้วรัฐจะหางานที่ไหนมาให้บรรดาผู้ว่างงานซึ่งนับวันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆได้ ซึ่งเงื่อนไขของการจ้างงานที่เหมาะสมคือ
  1. สร้างปัจจัยสี่ ให้ผู้ที่ทำงานสามารถดำรงชีพได้โดยพึ่งพาความต้องการ(demand)จากภายนอกให้น้อยที่สุด
  2. ให้ผลประโยชน์ตอบแทนต่อรัฐและสังคมเพื่อให้สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นค่าตอบแทนได้
  3. ไม่ไปกระทบกับระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ยังสามารถประคองตัวอยู่ท่ามกลางวิกฤตนี้ได้เพื่อลดปัญหาการต่อต้านจากผู้ที่ยังมีรายได้และเสียภาษีให้รัฐอยู่
ซึ่งถ้ารัฐทำได้ ก็จะลดจำนวนผู้ว่างงาน และลูกหนี้ที่ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินลงไปได้ และจะลดจำนวนผู้ถูกฟ้องล้มละลาย รวมถึงสามารถสร้างปัจจัยสี่ได้ตามความต้องการของประชาชนภายในประเทศและภายในโลกนี้ได้

Labels:

Monday, March 16, 2009

สังคมนิยม: ทางรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจ (1)

เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย
ปัญหาคนตกงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
และกำลังรุกลามไปทั่วโลก
สภาพตอนนี้เหมือนไฟไหม้ป่า

มีคำถามว่า
เมื่อไรช่วงเวลาเลวร้ายนี้จะจบ
และจะจบลงเช่นไร

ก่อนอื่นต้องมาคุ้ยกันถึงต้นตอของปัญหาก่อน

เริ่มจาก

การที่ทุกคนคิดว่าอสังหาริมทรัพย์จะมีค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ถ้ามีหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์อยู่
แล้วลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ก็ยังเอาทรัพย์ี่ที่ค้ำประกันไปขายทอดตลาดได้
ทำให้ธนาคารปล่อยกู้สำหรับเงินกู้ที่มีอสังหาริมทรัพย์ค้ำประกันได้ง่ายเกินความเป็นจริง
(จริงๆแล้ว ควรจะมีการตรวจสอบว่าผู้กู้มีความสามารถที่จะใช้หนี้ได้หรือไม่)

ส่วนผู้กู้ เนื่องจากเห็นว่าอสังหาริมทรัพย์มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าเวลาผ่านไปสักระยะนึง แล้วเอาอสังหาริมทรัพย์นั้น
ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ก้อนใหม่เพื่อการปรับโครงสร้างหนี้
ก็จะทำให้กู้ได้เพิ่มขึ้น และสามารถชำระดอกเบี้ยเงินกู้ได้ด้วย
ถ้าสบโอกาส ก็ขายอสังหาริมทรัพย์ทำกำไรซะ แล้วไปกู้เงินซื้ออสังหาริมทรัพย์ใหม่
ทำให้มีลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในระบบ

สถานการณ์แบบนี้ จะยังดำรงต่อไปได้เรื่อยๆ ถ้าอสังหาริมทรัพย์ยังมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งหมายความว่า จะต้องมีผู้ที่มีกำลังซื้อที่จะสร้างอุปสงค์ต่ออสังหาริมทรัพย์ี่
ที่มีอยู่ในระบบอย่างเพียงพอ และ ผู้ที่เป็นลูกหนี้โดยมีอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
จะต้องมีความสามารถชำระหนี้ได้ในส่วนหนึ่ง

แต่แล้ว ผลจากสภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปี 2007-2008 
(ราคาน้ำมัน เพิ่มขึ้นเกินกว่าระดับ $100 ต่อบาร์เรล
และ ราคาอาหาร เพิ่มสูงขึ้นมากเป็นประวัติการณ์
จากสภาพอากาศที่ไม่ื้เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกและ
การสูญเสียพื้นที่เกษตรเพื่ออาหารให้แก่การเกษตรเพื่อสังเคราะห์พลังงานทดแทน
*เพิ่มเติม จากท่านผู้มีความรู้ : เป็นผลจากนักเก็งกำไรถอนเงินออกจากตลาดหุ้นไปเก็งกำไรกับ commodity(ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค) แทน
)
ก็ทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก
ซึ่งส่งผลให้ลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ต่ำ ประสบปัญหาด้านค่าใช้จ่าย
ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญาการกู้ยืมเงิน

ผลคือ เจ้าหนี้ซึ่งส่วนใหญ่คือธนาคารพาณิชย์ และ วาณิชยกิจต่างๆประสบปัญหาสภาพคล่อง
ไม่สามารถหาแหล่งเงินทุนที่จะมาใช้ในการประกอบกิจการต่อไปได้อีก
ทำให้ไม่สามารถที่จะปล่อยเงินกู้ให้กับลูกหนี้ชั้นดีได้
ซึ่งส่งผลให้เกิดการลดปริมาณการจับจ่ายใช้สอยลง
ทั้งในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ ทำให้เกิดสภาพเศษรฐกิจชะลอตัว

แต่ผลจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้ลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำมีรายได้ลดลง
ส่งผลให้เกิดการเพิ่มจำนวนของหนี้เสีย หรือ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เป็นจำนวนมาก
ซึ่งก็ทำให้ปัญหาสภาพคล่องของเหล่าธนาคารพาณิชย์และวาณิชยกิจยิ่งเลวร้ายลงไปอีก

ปัญหานี้ ส่งผลทั้งทางเศรษฐกิจ และ จิตวิทยา ต่อทุกประเทศทั่วโลก
ทำให้ผู้คนเกิดความไม่เชื่อมั่น ลดการจับจ่าย เพิ่มปริมาณการถือออม ทั้งในรูปตัวเงิน และรูปทองคำ
แต่การกระทำดังกล่าว ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงขาลง
ในทางตรงข้าม ยิ่งทำให้วิกฤตเศรษฐกิจกระจายไปทั่วโลก

แน่นอน ถ้าหากยังมีลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำอยู่ ก็จะทำให้ปัญหาเลวร้ายขึ้น
ดังนั้น ทางแก้ไขปัญหานี้จึงควรเริ่มจาก หนี้เสีย หรือ หนี้ที่ไม่เกิดรายได้ของสถาบันการเงินก่อน

ทำไม สังคมนิยมถึงจะเป็นทางเลือกเพื่อแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ได้ จะกล่าวในครั้งต่อไป

Labels: